เมนู

ธรรมปริฬาหะ ธรรมลาภะบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยธรรมปริเยสนา ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ความต่างแห่งสัญญาบังเกิดขึ้นเพราะอาลัยความต่างแห่งธาตุ
ความต่างแห่งสังกัปปะบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความต่างแห่งสัญญา ฯ ล ฯ
ความต่างแห่งลาภะบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความต่างแห่งปริเยสนาอย่างนี้แล.
จบผัสสสูตรที่ 9

อรรถกถาผัสสสูตรที่ 9



พึงทราบวินิจฉัยในผัสสสูตรที่ 9 ดังต่อไปนี้.
บทว่า อุปฺปชฺชติ รูปสญฺญา ได้แก่ สัญญา ย่อมเกิดขึ้นใน
อารมณ์มีประการดังกล่าวแล้ว. บทว่า รูปสงฺกปฺโป ได้แก่ ความดำริ
ประกอบด้วยจิต 3 ดวง ในอารมณ์นั้นแล. บทว่า รูปสมฺผสฺโส ได้แก่
ผัสสะอันถูกต้องอารมณ์นั้น ๆ. บทว่า เวทนา ได้แก่ เวทนาเมื่อเสวย
อารมณ์นั้นและ ธรรมมีฉันท์เป็นต้น มีนัยที่กล่าวแล้วแล. บทว่า
รูปลาโภ ความว่า อารมณ์อันตนแสวงหาได้ พร้อมด้วยตัณหา เรียกว่า
รูปลาภะ. นัยที่รวมไว้ทั้งหมดนี้ ครั้งแรก ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจ
ความเกิดขึ้นของธรรมทั้งปวง ในอารมณ์เดียวเท่านั้น. อีกนัยหนึ่งผสม
กับอารมณ์ที่จรมา. ครั้งแรก ธรรม 4 เหล่านี้ คือ รูปสัญญา รูป-
สังกัปปะ ผัสสะ เวทนา มีอยู่ ในอารมณ์เป็นประจำสำหรับหน่วงเหนี่ยว
รูปไว้ จริงอยู่ อารมณ์ประจำ เป็นอารมณ์ น่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ น่ารัก ย่อมปรากฏเหมือนมีอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง. ส่วน
อารมณ์ที่จรมา ทำให้อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ที่มีอยู่ ฟุ้งขึ้นตั้งอยู่

ในข้อนั้นมีเรื่องดังนี้ ได้ยินว่า บุตรอำมาตย์คนหนึ่ง อันคนอยู่
ในบ้านห้อมล้อมอยู่ท่ามกลางบ้าน ทำการงาน. ก็สมัยนั้น อุบาสิกาของเขา
ไปยังแม่น้ำ อาบน้ำเสร็จแล้ว ก็ตกแต่งด้วยเครื่องประดับ อันหมู่นาง
พี่เลี้ยงแวดล้อม กลับไปเรือน. เขาเห็นแต่ไกล ให้เกิดความสำคัญขึ้นว่า
มาตุคามผู้เป็นแขกจักมี ดังนี้แล้ว จึงส่งบุรุษไป ด้วยกล่าวว่า แน่ะพนาย
ท่านจงไป จงรู้หญิงนั่นเป็นใคร. เขาไปเห็นหญิงนั้นแล้วกลับมา ถูก
ถามว่า หญิงนั่นเป็นใครเล่า จึงบอกตามความเป็นจริง อารมณ์ที่จรมา
ย่อมฟุ้งขึ้นอย่างนี้ ความพอใจที่เกิดขึ้นในอารมณ์นั้น ชื่อว่ารูปฉันทะ.
ความเร่าร้อนที่เกิดขึ้น เพราะทำรูปฉันทะนั้นแลให้เป็นอารมณ์ ชื่อว่า
รูปปริฬาหะ. การพาเอาเพื่อนไปแสวงหารูปนั้น ชื่อว่ารูปปริเยสนา.
อารมณ์ อันตนแสวงหาได้ พร้อมด้วยตัณหา ชื่อว่าลาภะ.
ฝ่ายพระจุฬติสสเถระผู้อยู่ในอุรุเวลา กล่าวว่า ผัสสะและเวทนาพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงถือเอาในท่ามกลาง ตามลำดับ แม้ก็จริง ถึงกระนั้น
แต่เมื่อเปลี่ยนลำดับ สัญญา ที่เกิดขึ้นในอารมณ์มีประการดังกล่าวแล้ว
ชื่อว่ารูปสัญญา. ความดำริในรูปนั้นแล ชื่อว่ารูปสังกัปปะ. ความ
พอใจในรูปสังกัปปะนั้น ชื่อว่ารูปฉันทะ. ความเร่าร้อนในรูปฉันทะ
นั้น ชื่อว่ารูปปริฬาหะ. การแสวงหาในรูปปริฬาหะนั้น ชื่อว่ารูป-
ปริเยสนา. อารมณ์อันตนแสวงหาได้ พร้อมด้วยตัณหา ชื่อว่ารูปราคะ
ส่วนการถูกต้องในอารมณ์ที่ได้แล้วอย่างนี้ ชื่อว่าผัสสะ. การเสวย ชื่อว่า
เวทนา. เขาย่อมได้ธรรมสองหมวดนี้คือ รูปผัสสะ และรูปสัมผัสสชา-
เวทนา. คนทั้งหลายถือเอาอารมณ์ ชื่อวาระแห่งอารมณ์ที่ไม่ปรากฏชัด แม้

อื่นอีก. จริงอยู่ อารมณ์ (คือรูป ) ที่เขาวางล้อมไว้ด้วยม่านและกำแพง
หรือว่าปิดบังได้ด้วยหญ้าและใบไม้เป็นต้น. เมื่อแลดูอารมณ์นั้นอยู่คิดว่า
รูปอารมณ์นั้นอันเราเห็นแล้วครั้งหนึ่ง เราไม่เห็นรูปอารมณ์ชัด สัญญา
ที่เกิดขึ้นในอารมณ์นั้น ชื่อว่ารูปสัญญา. ความดำริเป็นต้นที่เกิดขึ้นในรูป
นั้นแล พึงทราบว่า ชื่อว่ารูปสังกัปปะ ความดำริในรูปเป็นต้นดังนี้. อนึ่ง
ในอารมณ์นี้ สัญญา สังกัปปะ ผัสสะ เวทนา ฉันทะ ได้ในชวนวาระ
เดียวกันบ้าง ในชวนวาระต่างกันบ้าง. ปริฬาหะ ปริเยสนา ลาภะ ได้
ในชวนวาระต่างกันเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาผัสสสูตรที่ 9

10. โนผัสสสูตร



ว่าด้วยความต่างแห่งผัสสะ



[350] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้า
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย. . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ความต่างแห่งสัญญาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความต่างแห่งธาตุ
ความต่างแห่งสังกัปปะบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความต่างแห่งสัญญา ความต่าง
แห่งผัสสะบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความต่างแห่งสังกัปปะ ความต่างแห่ง
เวทนาบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความต่างแห่งผัสสะ ความต่างแห่งฉันทะ
บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความต่างแห่งเวทนา ความต่างแห่งปริฬาหะบังเกิด
ขึ้นเพราะอาศัยความต่างแห่งฉันทะ ความต่างแห่งปริเยสนาบังเกิดขึ้น